กระโปรง เป็นหนึ่งในไอเทมที่สาว ๆ ทุกคนต้องมี เพราะจะต้องใส่กระโปรงไปเรียน ใส่ไปทำงาน หรือใส่ไปเที่ยว ซึ่งกระโปรงแต่ละแบบ ก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน และชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกันด้วย หลาย ๆ คนอาจจะพบปัญหาในการเรียกชื่อ ทรงกระโปรง แต่ละแบบ หรือไม่รู้ว่ากระโปรงที่เราใส่อยู่นั้นเค้าเรียกว่าอะไร หรือคนอื่นเรียกกันแต่เราไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นแบบไหนบ้าง?
วันนี้ ZAZIO ขอนำเสนอลักษณะและชื่อเรียกกระโปรงทรงต่าง ๆ ที่สาวไทยคุ้นเคย มาฝากกันทั้งหมด 19 ทรง ดังต่อไปนี้
1.กระโปรงทรงเอ (A-Line Skirt)
กระโปรงทรงเอ นี้ตั้งชื่อจากตัวอักษรตัว A เป็นกระโปรงที่มีลักษณะแคบในส่วนบนหรือช่วงเอว แล้วค่อย ๆ บานออกทีละนิด ซึ่งกระโปรงนี้ จะเหมาะกับสาว ๆ สะโพกใหญ่ หรือต้นขาใหญ่ เพราะกระโปรงทรงเอ จะช่วยซ่อนพุง ซ่อนสะโพก ซ่อนขา หรือซ่อนรูปได้ดี เราสามารถใส่กระโปรงทรงเอได้ทั้งเป็นชุดแฟชั่น ชุดสุภาพหรือกระโปรงนักศึกษาก็ยังมีทรงเอด้วยนะ ซึ่งตัวรูปแบบกระโปรงทรงเอ นั้นถือว่าเป็นต้นแบบของกระโปรงอีกหลาย ๆ แบบอีกด้วย
2.กระโปรงทรงดินสอ หรือทรงสอบ (Pencil / Straight Skirt)
กระโปรงทรงดินสอ หรือกระโปรงทรงสอบ หรือกระโปรงทรงตรง เป็นกระโปรงที่มีความยาวประมาณเข่าลงไปถึงครึ่งน่อง มีลักษณะตรงตั้งแต่เอวจนถึงปลายกระโปรง ไม่มีจีบ (ความกว้างของส่วนเอวเท่ากับส่วนปลายของกระโปรง) ซึ่งกระโปรงทรงนี้จะนิยมใช้ผ้าที่มีความยืดหยุ่น ใส่แล้วจะได้ลุคเรียบร้อย ปราดเปรียว และสุภาพ
3.กระโปรงทรงกระบอก (Tube Skirt)
มีลักษณะคล้ายกับกระโปรงทรงดินสอแต่ต่างกันที่ความยาว โดยความยาวของกระโปรงทรงกระบอกจะสั้นกว่า วัสดุเนื้อผ้าที่เลือกมาทำมักเป็นผ้าที่มีความยืดหยุ่น กระโปรงทรงนี้จะเหมาะมากๆ กับสาวๆ ที่มีรูปร่างเพรียวบางและมีเรียวขาที่ยาวสวย โชว์หุ่นเป๊ะปังกันไปเลย
4.กระโปรงพลีท (Pleated Skirt)
กระโปรงพลีท เป็นกระโปรงที่มีลักษณะเป็นจีบรอบตัว มีทั้งจีบเล็ก และจีบใหญ่ เห็นกันบ่อย ๆ นั่นก็คือ กระโปรงนักศึกษา ลักษณะเด่นของกระโปรงที่สังเกตได้นั่น คือ การมีจีบเป็นแนวตั้งรอบ ๆ ตัว เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือถี่ ๆ กระโปรงทรงนี้เหมาะมากสำหรับสาวร่างท้วม หรือสาวที่มีส่วนสะโพกที่ใหญ่ ตัวกระโปรงสามารถช่วยซ่อนรูปได้เป็นอย่างดี
5.กระโปรงเทนนิส (Tennis Skirt)
กระโปรงเทนนิส เป็นกระโปรงสั้นที่มีจีบรอบตัว คล้ายกับกระโปรงพลีท แต่แตกต่างกันที่กระโปรงเทนนิส ส่วนบนของกระโปรงจะแนบไปกับลำตัว ไม่บานออก ค่อนข้างจะเข้ารูป โชว์เอว และสะโพกได้อย่างสวยงาม เมื่อใส่กระโปรงทรงนี้จะได้ลุคแบบสปอร์ตเกิร์ล และที่ชื่อว่ากระโปรงเทนนิสนั่นก็เพราะว่าต้นแบบมาจากกระโปรงที่นักกีฬาหญิงเทนนิสใส่เวลาเล่นเทนนิส
6.กระโปรงทรงวงกลม (Circle Skirt)
กระโปรงทรงวงกลม เป็นกระโปรงที่ส่วนเอวจะพอดี และส่วนปลายจะบานออก จะคล้ายกับกระโปรงทรงเอ วัสดุเนื้อผ้าที่เลือกมาทำกระโปรงนี้มักเป็นผ้าที่มีลักษณะบางเบา ในส่วนของชื่อทรงกระโปรงมาจากเมื่อจับกระโปรงกางออกจะเห็นได้ว่ามีลักษณะเป็นวงกลมนั่นเอง ซึ่งกระโปรงทรงนี้เมื่อใส่แล้วจะได้ลุคหวาน ลุคมั่นใจ แต่เรียบร้อย
7.กระโปรงทรงบาน (Flared Skirt)
กระโปรงทรงนี้จะคล้ายกับกระโปรงทรงเอ แต่ตรงส่วนชายกระโปรงนั้นจะบานออกกว้างมาก ซึ่งเวลาสวมใส่นั้นจะดูเก๋ไก๋ และมีระดับ ซึ่งใส่ได้ทั้งในงานปาร์ตี้ หรือชุดทำงาน
8.กระโปรงทรงบอลลูน (Bubble Skirt)
กระโปรงทรงนี้เหล่าสาว ๆ ที่ชื่นชอบสไตล์วินเทจอาจจะเห็นมาบ้าง เพราะเป็นทรงกระโปรงที่ฮิตในช่วงปี 1950 โดยตัวรูปแบบทรงกระโปรงนั้นช่วงเอวจะแคบ ส่วนตรงสะโพกจะพองออก ส่วนปลายนั้นจะซุกเข้า ซึ่งกระโปรงทรงนี้ส่วนมากเป็นกระโปรงสั้น จะช่วยขับสัดส่วนตรงสะโพกได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสาว ๆ คนไหนที่สะโพกใหญ่อยู่แล้ว กระโปรงทรงนี้ควรจะหลีกเลี่ยงนะคะ แต่จะเหมาะสำหรับสาวๆ หุ่นเพรียวหรือสาวๆ ที่มีขาเรียวเล็ก จะยิ่งทำให้ดูมีส่วนเว้าส่วนมากขึ้น
9.กระโปรงทรงทิวลิป (Tulip Skirt)
กระโปรงทรงนี้จะมีรูปทรงคล้ายดอกทิวลิป ซึ่งตัวด้านหน้าของกระโปรงจะมีพับซ้อนกันเหมือนกับกลีบของดอกทิวลิป ความยาวของกระโปรงนั้นจะอยู่ช่วงประมาณเข่า กระโปรงทรงนี้เหมาะกับการเป็นชุดสุภาพ เนื่องจากให้ลุคที่ดูดีและเรียบร้อย
10.กระโปรงทรงเจ้าหญิง (Tutu Skirt หรือ Tulle Skirt)
กระโปรงทรงเจ้าหญิง เป็นกระโปรงที่มีลักษณะบาน ฟูฟ่อง เนื้อผ้าโปร่ง บางเบา และกางออก กระโปรงทรงที่เหมาะมากสำหรับสาว ๆ ที่ชอบ ฟรุ้งฟริ้ง เว่อวัง ซึ่งเวลาสวมใส่ทำให้ได้ลุคหวาน ฟูฟู ฟรุ้งฟริ้ง เว่อวัง ดั่งชุดของเจ้าหญิงตามเทพนิยายต่าง ๆ
11.กระโปรงทรงไม่สมมาตร (Asymmetrical Skrit)
เป็นกระโปรงที่มีความหลากหลายของรูปแบบและมีความแปลกใหม่ ซึ่งตัวทรงกระโปรงนั้นข้างหนึ่งยาว อีกข้างสั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านซ้ายสั้น ด้านขวายาว หรือ ด้านหน้าสั้น ด้านหลังยาว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบกระโปรงนั้น เหมาะกับการใส่ออกงานเป็นชุดราตรี
12.กระโปรงทรงระฆัง (Bell Shaped Skirt)
จะมีจุดสังเกตของ ทรงกระโปรง นี้ได้จากตรงช่วงเอวนั้นจะแคบ และจะขยายออกทันที หลังจากนั้นจะเป็นทรงตรงจนถึงปลายกระโปรง หากยังไม่นึกออกให้ลองนึกรูประฆัง นะคะ
13.กระโปรงทรงนางเงือก หรือทรงหางปลา (Mermaid or Fishtail Skirt)
เป็นกระโปรงที่มีลักษณะเหมือนกับหางของนางเงือกหรือว่าหางปลา ซึ่งตัวทรงกระโปรงนี้ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากนิยายที่เกี่ยวกับนางเงือก โดยตั้งแต่เอวลงมาจนถึงเข่าจะมีลักษณะแนบติดกับลำตัวและมาบานออกช่วงส่วนปลาย มีทั้งแบบสั้นและแบบยาว ซึ่งแบบสั้นในที่นี้ ความยาวของกระโปรงจะสิ้นสุดประมาณหัวเข่าค่ะ เหมาะกับการใส่เป็นชุดราตรี เนื่องจากให้ลุคที่ดูสวย สง่าและดูแพงค่ะ
14.กระโปรงทรงยิปซี (Gypsy Skirt)
เป็นกระโปรงที่มีความยาวของชายกระโปรงถึงประมาณปลายเท้า ตัวเนื้อผ้าจะมีความพลิ้วไหวสูงมาก ซึ่งทรงกระโปรงนี้จะเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ที่หลงไหลในการแต่งตัวสไตล์โบฮีเมียน และมีรูปร่างสูง
15.กระโปรงทรงระบาย (Layer Skirt or Ruffle Skirt)
ลักณะสำคัญของกระโปรงนี้คือ ตัวกระโปรงนั้นจะแต่งด้วยการนำผ้าหลาย ๆ ชิ้นมาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ จะมากน้อย ขึ้นอยู่กับรูปแบบของกระโปรง ซึ่งตัวกระโปรงนั้นจะทำให้ลุคของผู้สวมใส ดูเป็นผู้หญิงผู้หญิง ซึ่งสามารถสวมใส่ได้ทั้งแบบชุดแฟชั่น หรือเป็นชุดออกงานในโอกาสต่าง ๆ
16.กระโปรงสเกตน้ำแข็ง หรือกระโปรงทรงครึ่งวงกลม (Skater Skirt)
กระโปรงทรงนี้มีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากชุดของนักสเก็ตน้ำแข็ง ซึ่งจุดเด่นของรูปแบบกระโปรงทรงนี้ คือ กระโปรงเอวสูง และความยาวของกระโปรงจะสั้นอยู่ประมาณครึ่งขาอ่อน วัสดุที่ใช้ทำจากเนื้อผ้าที่พริ้วไหวเวลาเคลื่อนไหว
17.มินิสเกิร์ต หรือกระโปรงสั้นเหนือเข่า (Mini Skirt)
อีกหนึ่งไอเท็มยอดฮิตของสาว ๆ ในปัจจุบัน โดยรูปแบบของกระโปรงทรงนี้ ตัวชายกระโปรงจะอยู่เหนือเข่าขึ้นไป ซึ่งเวลาสวมใส่ทำให้ได้ลุคเซ็กซี่ อีกทั้งยังสามารถระบายอากาศได้เป็นอย่างดี
18.กางเกง ทรงกระโปรง (Skort Skirt)
กระโปรงกึ่งกางเกง หรือเรียกสั้น ๆ ว่า กระเปง ตัวทรงออกแบบผสมผสานระหว่างกางเกง กับกระโปรงในแบบเดียว หรือกางเกงที่ตกแต่งด้วยผ้าปิดรอบ ทำให้ดูเป็นทรงกระโปรง
19.กระโปรงป้าย (Wrap Skirt)
โดยกระโปรงนี้จะมีลักษณะที่คล้ายกับการนุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่น คือจะมีการซ้อนทับกันของกระโปรง เหมือนเรานุ่งผ้าถุงแล้วป้ายผ้าไปอีกฝั่งนั่นเอง
นี่แค่บางส่วนของทรงกระโปรงที่เราคุ้นตา แต่จริงๆ แล้วในโลกนี้มีทรงกระโปรงอีกมากมาย ซึ่งลักษณะและชื่อเรียกกระโปรงทรงต่าง ๆ มักเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม และอนาคตคิดว่าจะมีชื่อเรียกใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีกมากมายแน่นอนค่ะ