ประเภทและรูปแบบของป้ายลาเบล (Clothing Labels)

ป้ายลาเบลหรือเลเบิล (Labels)

หลายคนที่กำลังวางแผนจะทำเสื้อผ้าเป็นแบรนด์ของตัวเอง สิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งสิ่งนั้นก็คือ ป้ายลาเบล (Labels) เพราะป้ายลาเบลนั้นเปรียบเสมือนแบรนด์ของเรา ซึ่งการติดป้ายลาเบลจะช่วยยกระดับแบรนด์ให้น่าเชื่อถือ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะทำป้ายลาเบล (Labels)
ก็คือ ขนาด , การตัดเย็บ และประภทของงานลาเบล

A.ขนาดของป้าย (Label Size)

ขนาดที่สามารถทำได้มีตั้งแต่ 10-200 mm.

B.การติดเย็บ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 แบบ ดังนี้

ป้ายแบบตัดตรง (Straight Cut)
ป้ายแบบพับซ้ายขวา (End Fold)
ป้ายแบบพับครึ่ง (Center Fold)
ป้ายแบบพับเฉียง (Mitre Fold)
ป้ายแบบไดคัต (Die Cut)

ประเภทของงานลาเบล

ประเภทของานลาเบล แต่ละแบบจะนำไปใช้กับเสื้อผ้าที่แตกต่างกัน ดังนั้น ก่อนจะสั่งผลิตป้ายลาเบล เราควรศึกษาให้ละเอียดว่า เสื้อผ้าของเรานั้น เหมาะจะใช้ป้ายลาเบล แบบไหน ซึ่งเเบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

แบบที่ 1 : แบบงานทอ

1.1.ป้ายทอพื้นธรรมดาหรือทาฟเฟต้า (Taffeta woven Labels)

เป็นป้ายทอที่มีราคาที่ถูกที่สุด เนื้อผ้าบางกระด้าง เหมาะกับงานที่มีรายละเอียดไม่มากหรืองานที่เน้นปริมาณไม่เน้นความสวยงามมากนัก ทอได้สูงสุด 8 สี (รวมสีพื้น)

1.2.ป้ายทอยกพื้น (Taffeta with double weave Labels)

จะมีความละเอียดกว่าป้ายทอพื้นธรรมดา โดยลักษณะการทอจะเป็นการทอที่เพิ่มฝีเข็มขึ้นอีก๑ขั้น เพื่อให้เนื้องานดูมีลักษณะนูนๆขึ้นมาราคาปานกลาง ทอได้สูงสุด 8 สี (รวมสีพื้น)

1.3.ป้ายทอพิเศษหรือป้ายทอดามาร์ส (Damask woven Labels)

จะเป็นงานที่มีคุณภาพสูงที่สุด เนื่องจากใช้ฝีเข็มทอมากกว่าการทอเป็นยกพื้นถึง 2 เท่า (สามารถเพิ่มฝีเข็มอีกเท่า-ตัวเพื่องานที่ละเอียดยิ่งขึ้น (Damask double) เหมาะกับงานส่งออก) ปัจจุบันป้ายทอชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความละเอียดสูงและเนื้อผ้าจะเนียน นุ่ม เมื่อทอจะมีความสวยงามใกล้เคียงกับแบบจริงมากที่สุด ราคาจึงสูงกว่าการทอชนิดอื่น ทอได้สูงสุด 8 สี (รวมสีพื้น)

1.4.ป้ายทอซาติน (Satin woven Labels)

จะเป็นงานที่มีลักษณะเงางาม หรูหรา เรียบเนียนเนื้อผ้าจะมีความนิ่ม ส่วนใหญ่จะใช้ในร้านสูทหรือร้านเสื้อเชิ๊ตทำงาน ราคาจะใกล้เคียงกับการทอแบบดามาร์ส ทอได้สูงสุด 5 สี (รวมสีพื้น)

1.5.ป้ายอาร์ม (Woven & Embroidered Patch)

จะมีลักษณะเป็นป้ายทอยกพื้นหรือดามาร์คตัดชิ้นด้วยระบบเลเซอร์ (diecut) สามารถเพิ่มลูกเล่นโดยการรีดกาวด้านหลังป้ายหรือ ปักขอบรอบๆป้ายเพิ่มความสวยงามได้ เหมาะสำหรับงานจำพวกตราเสื้อสโมสร หน่วยงานต่างๆ หรือติดกระเป๋า เป็นต้น เนื่องจากมีกระบวนการ ผลิตหลายขั้นตอน จึงมีราคาสูง

แบบที่ 2 : แบบงานพิมพ์

2.1.ป้ายพิมพ์ไนล่อน (Printed Nylon Labels)

ป้ายพิมพ์ไนล่อนจะมีราคาถูกที่สุดในบรรดาป้ายลาเบล ส่วนใหญ่นิยมติดเสื้อผ้าเด็ก ป้ายแคร์ ป้ายติดตะเข็บข้าง หรือเสื้อผ้าขายส่งจำนวนมาก เหมาะกับงานป้ายแค์ หรืองานป้ายแบรนด์ เนื้อผ้าบางคล้ายกระดาษ พิมพ์ได้สูงสุด 4 สี

2.2.ป้ายพิมพ์ซาติน (Printed Satin Labels)

ป้ายพิมพ์ซาตินจะมีความเงางามในตัว ซึ่งจะนิยมติดเสื้อผ้าเด็กอ่อน หมอนหรือติดตะเข็บข้าง มีราคาสูงกว่าป้ายพิมพ์ไนล่อนเล็กน้อย เหมาะกับงานป้ายแค์ หรืองานป้ายแบรนด์ เนื้อผ้าบางคล้ายริบบิ้น พิมพ์ได้สูงสุด 4 สี

2.3.ป้ายพิมพ์คอตตอน (Cotton Printed Labels)

ป้ายงานพิมพ์ระบบสกรีนบนผ้าคอตตอน เหมาะกับงานป้ายแบรนด์ เนื้อผ้าหนานุ่มสีครีมผ้าดิบ พิมพ์ได้สูงสุด 4 สี

2.4.ป้ายก้างปลา (Printed Fishbone Labels)

ป้ายก้างปลาจะเป็นป้ายที่มีความนุ่มสูง โดยอาจจะนำไปติดเป็นป้ายหลาก็ได้โดยทั่วไปนิยมใช้กัน 2 สี คือ สีผ้าดิบ และสีขาว การพิมพ์ควรพิมพ์ลายไม่เกิน 2 สี และไม่ควรพิมพ์สีซ้อนกัน เนื่องจากสีอาจจะซึม ทำให้รายละเอียดเพี้ยนได้ ราคาอยู่ในระดับปานกลาง

2.5.ป้ายกระดาษ (Hang Tag)

ป้ายกระดาษจะเป็นป้ายที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย หากนำมาติดกับเสื้อผ้าร่วมกับป้ายลาเบลอื่น ก็สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าได้ป้ายกระดาษจะมีเนื้อแกรมหลายประเภท โดยเราสามารถเพิ่มลูกเล่นให้กับตัวป้ายโดยการนำไปเคลือบUV เพื่อให้เกิดความมันเงา หรือเคลือบลามิเนตเพื่อให้ตัวป้ายเกิดความด้านได้ ราคาขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย นอกจากนี้ยังสามารถพิมพ์งานสติ๊กเกอร์ในรูปแบบต่างๆได้ เช่น งานสติ๊กเกอร์กระดาษปอนด์, pvp หรืออื่นๆ

2.6.ป้ายหนัง (Leather Patches)

ป้ายหนังจะเป็นป้ายที่มีความเหนียว ฉีกขาดได้ยาก นิยมนำมาติดกับเครื่องหนัง กางเกงยีนส์ แจ็คเก็ต หรือกระเป๋า เนื่องจากปัจจุบันป้ายหนังแท้จะมีราคาค่อนข้างแพง ผู้คนจึงหันมานิยมป้ายหนังเทียมที่มีราคาย่อมเยาว์กว่าเช่น ป้ายปะเก็น ป้ายPVC ป้ายPU แทน ราคาจัดอยู่ในระดับปานกลาง ไปจนถึงสูงขึ้นอยู่กับเกรดหนัง