เสื้อยืด (T-Shirt หรือ Tee Shirt) คือเสื้อที่ส่วนใหญ่จะไม่มีกระดุม ปกเสื้อ และกระเป๋า โดยมีลักษณะคอกลมและแขนสั้น ซึ่งแขนของเสื้อส่วนใหญ่จะไม่เลยข้อศอก ถ้าเกินกว่านั้นจะเรียกเสื้อยืดแขนยาวเสื้อยืดโดยทั่วไปจะทำจากผ้าฝ้าย (Cotton) หรือ ผ้าใยสังเคราะห์ ที่มีความนุ่ม ยืดหยุ่น ใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี
โดยมากแล้วเสื้อยืดจะมีการออกแบบลายด้วยตัวหนังสือหรือรูปภาพ และนิยมใส่กันทุกเพศทุกวัย และทุกกลุ่มอายุ
ต้นกำเนิดของเสื้อยืด เริ่มจากยุคอียิปต์โบราณ
แนวความคิดการผลิตเสื้อยืดมาจาก ชั้นใน ซึ่งพัฒนามาจากเสื้อชั้นใน เสื้อนั้นมีมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ และค่อยๆ ได้รับความนิยม จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 ต้นกำเนิดของเสื้อยืดก็ได้เกิดขึ้น โดยมีการอ้างสถานที่เกิดอย่างน้อยก็ในแคลิฟอร์เนีย และ สหราชอาณาจักร ในช่วงราวปี 1913 ถึง 1948 ซึ่งในช่วงนั้นได้มีการพัฒนาไปอย่างช้า ๆ
ที่มาของคำว่า “ทีเชิร์ต” (T-Shirt)
จากข้อมูลหลาย ๆ แห่ง มีการอ้างว่า สถานที่ ๆ เป็นต้นกำเนิดแนวความคิดของเสื้อยืดจริง ๆ เห็นจะเป็นที่สหรัฐอเมริกา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อทหารอเมริกัน ได้สังเกตว่า ทหารยุโรปได้ใส่เสื้อในจากผ้าฝ้ายเบา ขณะที่ทหารอเมริกันเปียกเหงื่อกับชุดที่ทำจากขนสัตว์ ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ได้เปลี่ยนมาใช้ผ้าฝ้าย ซึ่งสะดวกสบายขึ้นและได้รับความนิยมในหมู่ชาวอเมริกัน เพราะเนื่องจากรูปลักษณ์ของเสื้อจึงได้เรียกว่า ทีเชิร์ต (T-shirt) ที่มาขอชื่อนั้น ไม่ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่จะมาจากรูปร่าง ของเสื้อที่มีลัษณะเป็นตัว “T” และชัดเจนขึ้นเมื่อในกองทัพเรียกเสื้อนี้ว่า “Training shirt” (เสื้อสำหรับฝึก)
จุดเริ่มต้นความนิยมของเสื้อ “ทีเชิร์ต” (T-shirt)
ในปี 1932 ฮาวเวิร์ด โจนส์ขอให้บริษัทผลิตกางเกงในอย่าง จ็อกกี้ ผลิตเสื้อที่ซับเหงื่อสำหรับทีม ยูเอสซี ฟุตบอล ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเสื้อยืดยุคใหม่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เสื้อยืดได้กลายเป็นเสื้อมาตรฐานทั่วไป ในกองทัพสหรัฐอเมริกาและนาวิกโยธิน ถึงแม้ว่าเสื้อยืดจะเป็นชั้นใน แต่ทหารส่วนใหญ่ก็มักจะใส่โดยไม่มีเสื้อเชิร์ตนอก และด้วยเหตุที่ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะบ่อยขึ้น ที่นายทหารใส่เสื้อยืดกับกางเกงขายาว และเป็นที่ยอมรับทีละน้อย จนเมื่อนิตยสารไลฟ์ ฉบับวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1942 ขึ้นหน้าปกทหารที่ใส่เสื้อยืด และเขียนข้อความว่า “Air Corps Gunnery School”
สกรีนตัวหนังสือตัวแรกของโลกบนเสื้อยืด
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เสื้อยืดได้ปรากฏโดยไม่มีเสื้อเชิร์ตนอกคลุม ในปี 1948 ผู้สมัครประธานาธิบดี โธมัส อี. ดีวเวย์ ผลิตเสื้อทีเชิร์ต “Dew It for Dewey” ขึ้น ได้รับการบันทึกว่าเป็นเสื้อยืดสกรีนตัวหนังสือตัวแรก (ปัจจุบันเก็บไว้อยู่ที่สถาบันสมิทโซเนียนของอเมริกา)และต่อมาในปี 1952 ก็ได้ผลิตเสื้อยืด “I Like Ike” เพื่อสนับสนุน Dwight D. Eisenhower และจอห์น เวย์น,มาร์ลอน แบรนโด และเจมส์ ดีน ก็ได้ใส่เสื้อตัวนี้ปรากฏตัวในโทรทัศน์ด้วย ซึ่งเป็นที่ตกตะลึงของประชาชน จนกระทั่งในปี 1955 จึงเป็นที่ยอมรับ
ทศวรรษ 1960-1970 ยุคที่เสื้อยืดได้รับความนิยมในกลุ่มนักดนตรี
ในยุคทศวรรษ 1960-1970 ยุค ที่ดนตรีร็อคทรงอิทธิพลอย่างมาก วงดนตรีต่างๆ นำเอาเสื้อยืดมาสกรีนลาย ขายเป็นของที่ระลึกยามที่ออกทัวร์คอนเสิร์ต หรือใช้เป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งหน้าที่ระหว่างคนดูกับทีมงานอย่างได้ผล เสียดายที่ไม่มีการจดบันทึกไว้ว่าใครเป็นคนริเริ่มทำ
โดยศิลปิน หลายๆ วงดนตรีขายเสื้อยืดได้พอๆ กับยอดขายอัลบั้ม อย่าง The Beatles หากว่า นับเอาจำนวนเสื้อที่เขาขายได้ทั้งหมด ทั้งละเมิดลิขสิทธิ์และถูกกฎหมายแล้วล่ะก็ เผลอๆ ยอดขายอาจไม่ได้น้อยไปกว่ายอดอัลบั้มที่พวกเขาสามารถขายได้ ยุคแรกๆ ของทีเชิ้ตที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการดนตรี ส่วนมากเป็นเสื้อของวงร็อคเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เดอะ โรลลิ่งสโตน (The Rolling Stone) เลด เซปลิน (Led Zeplin) บ๊อบ มาร์เลย์ (Bob Marley) จิมมี่ เฮ็นดริกซ์ (Jimmy Hendrix) เสื้อยืดทีเชิ้ตสกรีนลายสัญลักษณ์ของวงบางวง กลายเป็นลายคลาสสิคที่ดีไซเนอร์หลายคนหยิบจับมาใช้จนทุกคนจำได้ ไม่ว่าจะเป็นลายปากแลบลิ้นของ เดอะ โรลลิ่งสโตน หรือว่ามงกุฎและลายธงชาติอังกฤษที่เรามักเห็นคู่กับวงเดอะเซ็กซ์ พิสทอลและวิเวียน เวสต์วู้ด (Vivienne Westwood)
เสื้อยืดไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงดนตรีร็อค
ดนตรี และแฟชั่นก็ไม่เคยห่างกัน บางครั้งดนตรีและนักดนตรีก็เป็นตัวกำหนดรูปแบบของแฟชั่นของแต่ละยุคแต่ละ สมัยไปโดยปริยาย และทีเชิ้ตก็ไม่เคยหลุดเทรนด์ หลังๆ คุณคงเริ่มสังเกตว่า “เสื้อยืด” (T-shirt) ไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่วงร็อคเท่านั้น เสื้อยืดรัดติ้วแบบที่ริกกี้ มาร์ตินใส่ก็ทำให้คนฮิตกันไปทั่ว หรือ “เสื้อยืด” (T-shirt) สกรีนตัวหนังสือ ‘Britney Spears’ ที่แปะอยู่บนเสื้อของมาดอนน่า ทำเอาใครต่อใครต้องหามาใส่ เสื้อยืดเป็นตัวบอกรสนิยมอย่างจงใจ
อย่างเช่น วงเดอะเซ็กซ์ พิสทอลและวิเวียน เวสต์วู้ด (Vivienne Westwood) ว่าไปแล้วเธอก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการผสมผสานระหว่างแฟชั่นและดนตรีเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ยุคแรกการเปลี่ยนชื่อร้านของเธอจาก ‘Let it Rock’ มาเป็น ‘Too Fast to Live Too young to Die’ สะท้อน ความคิดที่ได้รับมาจากฮิปปี้และดนตรีร็อคโดยตรง การเข้าไปมีส่วนสำคัญของการดังเป็นพลุแตกของเดอะเซ็ก พิสตอล ที่สามีของเธอขณะนั้น (มัลคอม แมคลาเรน-Malcom McLaren) เป็นผู้จัดการวง ทำให้ภาพลักษณ์ของวิเวียน เวสต์วู้ดไม่เคยหลุดอกจากความเป็นพังค์ที่กอดเกี่ยวกับดนตรีอย่างแยกไม่ออก
จุดเริ่มของธุรกิจเสื้อยืดอย่างจริงจัง
หลังยุคทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เสื้อผ้ายี่ห้อดังต่างๆ เริ่มหันมาสนใจกับตลาด “เสื้อยืด” (T-shirt) และแบบที่นิยมมากในยุคนั้นก็คือ เสื้อยืดทีเชิ้ตสีสกรีนโลโก้ปะติดกลางหน้าอก คาลวิน ไคลน์ เป็นตลาดไฮแบรนด์เจ้าแรกๆ ที่ทำให้เกิดกระแสนี้จนกระทั่งลามไปถึงเจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ลีวายส์, Mc, Camel Lee
แต่ถ้าพูดถึงเสื้อยืดทีเชิ้ตสุดฮิตในหมู่นักร้องและศิลปินของอเมริกาไม่มีเสื้อยืดทีเชิ้ตไหน เกิน anti-bush-t-shirt ที่ขายอยู่ในเว็บไซท์ www.bant-shirt.com ไปได้ เพราะก่อตั้งโดยจุดประสงค์เพื่อต้องการรณรงค์และต่อต้านความไม่ชอบธรรมของ ท่านผู้นำที่ปิดหูปิดตาประชาชน แล้วทำตัวเหมือนพระเจ้าที่ชี้นิ้วกำหนดทุกอย่าง ในเว็บไซท์นี้จึงมีเสื้อยืดต่อต้านการเมือง รณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม และทีเชิ้ตส่งเสริมมนุษยชน ใครเห็นแล้วอยากทำล้อเลียนผู้นำบางประเทศก็ไม่น่าจะผิดแต่ประการใด
ข้อความสกรีนยอดฮิตของเมืองไทยในอดีต
ในปัจจุบันเสื้อยืดมักสกรีนข้อความและลวดลายเพื่อให้เหมาะสมกับความเชื่อ รสนิยมของผู้สวมใส่ เช่นเสื้อยืดวงดนตรีต่างๆ และเนื่องจากราคาถูกและสามารถทำได้ง่ายจึงมักทำเป็นของที่ระลึก ของแจกของแถม ของขวัญ เป็นที่ประชาสัมพันธ์ ที่โฆษณา ส่วนข้อความที่ได้รับความนิยมในการเขียนบนเสื้อยืด เช่น “ฉันหัวใจเอ็นวายซี” รวมถึงลายล้อเลียนต่างๆ ที่ตามมา หรือข้อความ “staying alive” ที่ได้รับความนิยมช่วงหนึ่งในกรุงเทพฯ
เสื้อยืดสามารถ “สะท้อนความคิดและบุคลิก” ของผู้สวมใส่
โดยในยุคเริ่มแรกของการเกิด “เสื้อยืด” (T-shirt) คงไม่แตกต่างจากหนังมากนัก ในแง่ที่ว่า เสื้อยืดเป็นตัวแทนของการต่อต้านสังคม ความรู้สึกของ ‘ความไม่สุภาพ’ ของเสื้อยืดนั้นก็ยังติดตัวมันอยู่จนถึงทุกวันนี้ และที่สำคัญเสื้อยืดสามารถสะท้อนความคิดและบุคลิกของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าเราอยากจะรู้จักใครสักคนในสมัยนี้ ต้องดูที่เสื้อยืดที่เขาใส่ ดูคำดูรูปที่อยู่บนเสื้อ เราก็จะรู้ได้ประมาณหนึ่งว่าเขาเป็นคนอย่างไร มันเป็นภาพสะท้อนความคิดของคนๆ หนึ่งที่ต้องการสื่อความคิดของตัวเองได้ดีมาก